• พื้นไม้ forthmat จัดจำหน่ายพื้นไม้ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ พื้นไม้ไวนิล พื้นไม้โซลิด

พื้นไม้

พื้นไม้

เมื่อถึงขั้นตอนที่เจ้าของบ้านต้องเลือกวัสดุเพื่อปูพื้นบ้านทีไร วัสดุที่ยังได้รับความนิยมและพูดถึงอยู่เสมอคือ “ไม้” เพราะถึงจะมีข้อจำกัดในเรื่องของราคาที่สูงอยู่สักหน่อย แต่ความคลาสสิคของตัววัสดุเองก็ยังครองใจเจ้าของบ้านอยู่ได้ทุกยุคทุกสมัย ดังนั้นปัญหาที่ลูกค้ามักจะถามมาเสมอ ๆ คือจะเลือกใช้พื้นไม้ชนิดไหนดี ชนิดใดใช้ด้านในหรือชนิดใดใช้ด้านนอกอาคารได้บ้าง รวมถึงมีวิธีบำรุงรักษาพื้นไม้ให้อยู่กับเรายาวนานได้อย่างไร ซึ่งเราสามารถแบ่งไม้ออกเป็น 2 ประเภท เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานคือ ไม้เนื้อแข็ง ซึ่งเป็นไม้ที่เหมาะสำหรับใช้กับงานภายนอกหรือใช้สำหรับโครงสร้างอาคาร และไม้เนื้ออ่อน ซึ่งเหมาะกับการใช้งานภายในร่มหรือใช้สำหรับทำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เพื่อป้องกันความสับสนให้เจ้าของบ้านในเรื่องการเลือกซื้อพื้นไม้ ต่อไปนี้เราจะมาทำความรู้จักพื้นไม้ยอดนิยมที่ได้รับการพูดถึงอยู่เป็นประจำกันนะคะ

1.ไม้สัก (Teak wood) เป็นไม้เนื้ออ่อน ที่มักจะได้รับความเข้าใจผิดเสมอว่าเป็นไม้เนื้อแข็งเนื่องจากว่าลักษณะพิเศษที่เป็นไม้เนื้ออ่อนที่มีความทนทานกว่าไม้เนื้อแข็งหลายๆ ชนิด โดยไม้สักที่เป็นที่รู้จักกันดี อาทิเช่น สักเนื้อละเอียดสีเหลืองสม่ำเสมอที่มักชอบเรียกกันว่าสักทอง และเนื้อหยาบสีน้ำตาลคล้ำที่มักชอบเรียกกันว่าสักขี้ควาย เป็นต้น

เนื่องจากเนื้อไม้สักมีลายสวยงาม เนื้อไม้มีสีเหลืองซึ่งนานเข้าจะกลายเป็นสีน้ำตาลแก่ แข็งแรงทนทาน มีคุณสมบัติการยืดหดตัวต่ำ สามารถเลื่อย ไสกบ ตกแต่ง และชักเงาได้ง่าย ในสมัยโบราณนิยมใช้ไม้สักทองในการสร้างบ้านเรือนทั้งหลังเนื่องจากหาง่ายและราคาไม่แพง นอกจากนี้ในเนื้อไม้สักมีสารเคมีพิเศษอยู่ชนิดหนึ่ง ชื่อ O-cresyl methyl ether ที่มีคุณสมบัติเมื่อทาหรืออาบไม้แล้วไม้จะมีความคงทนต่อ ปลวก แมลง และเห็ดราได้

บริเวณที่เหมาะสมในการใช้งาน ไม่นิยมใช้เป็นพื้นไม้บริเวณที่ต้องใช้งานบ่อยหรือใช้งานหนัก เหมาะสำหรับพื้นไม้ภายในบ้าน อาทิเช่น ห้องนอนและห้องพระ

2.ไม้มะค่า (Makha wood) เป็นไม้เนื้อแข็งชนิดหนึ่ง ที่มีคุณสมบัติหลากหลาย เมื่อแปรรูปใหม่ จะมีสีน้ำตาลออกน้ำตาลปนเหลือง และจะเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นทีละน้อยเมื่อถูกแดด และจะเปลี่ยนสีดำได้หากเปียกน้ำ จึงไม่เหมาะที่จะใช้บริเวณภายนอกอาคาร เนื้อไม้ค่อนข้างหยาบแต่มีความหนาแน่น และเรียบสม่ำเสมอ ทนทาน ผุพังได้ยาก จุดเด่นคือ มองเห็นลวดลายชัดเจน มีความใกล้เคียงกับลวดลายของไม้สักเป็นอย่างมาก เหมาะในการทำไม้ปูพื้นและเฟอร์นิเจอร์ เพราะมีความทนทานมาก สามารถทนต่อปลวก มอด และเชื้อราได้เป็นอย่างดี มีราคาค่อนข้างสูง อายุการใช้งานประมาณ 10 ปี

บริเวณที่เหมาะสมในการใช้งาน สามารถเป็นพื้นไม้ภายในบ้านได้ทุกห้อง อาทิเช่น ห้องรับแขกและห้องนอน แต่ไม่ควรให้โดนแดดมากนัก เพราะอาจทำให้ไม้ดำได้

3.ไม้แดง (Iron wood) เป็นไม้เนื้อแข็ง มีสีน้ำตาลอมแดง และมีจุดดำแทรกในเนื้อไม้ ลายค่อนข้างน้อย ลักษณะโดยรวมใกล้เคียงไม้ประดู่มาก โดยเมื่อใช้ไปนานๆจะมีสีแดงที่เข้มขึ้น ไม้แดงเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงและมีราคาไม่สูงมากนัก นิยมนำมาใช้การก่อสร้างสำหรับงานภายนอกอาคารในส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้าง เช่น ทำพื้นระเบียง ทำฝาบ้าน ฝ้าชายคา และรั้วไม้ นอกจากนี้เนื่องจากเนื้อไม้มีความแข็งมากจึงทำให้ไม้แดงมีคุณสมบัติการยืดหดตัวสูง ดังนั้นการใช้งานไม้แดงจึงควรตีเว้นร่องเพื่อป้องกันการขยายตัวของไม้จนทำให้เกิดการปริแตกได้ ไม้ชนิดนี้ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องปลวกหรือเพรียง และเป็นไม้ที่ต้านทานไฟในตัวด้วย อายุใช้งาน ราว 12-15 ปี

บริเวณที่เหมาะสมในการใช้งาน นิยมใช้เป็นพื้นไม้ภายนอกบ้าน อาทิ ระเบียงภายนอก ขอบสระว่ายน้ำ

4.ไม้เต็ง (Shorea wood) เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีราคาถูกที่สุดในท้องตลาด ใช้สำหรับงานไม้ภายนอกอาคาร แต่ผิวไม้ไม่ค่อยมีลวดลายที่สวยงามมากนัก จึงมักจะไม่ค่อยใช้ในการสร้างสิ่งประณีต ส่วนใหญ่จะเหมาะแก่การสร้างส่วนที่รับน้ำหนักได้ดี มีความแข็งแรงทนทานดีมาก ทนต่อการใช้กรำแดดกรำฝน เนื่องจากเนื้อไม้มีความแข็งและเหนียว เหมาะสำหรับทำระแนง พื้นระเบียงไม้ภายนอก ซุ้มระแนงไม้ และประตูรั้วไม้ นอกจากนั้นยังใช้สำหรับเป็นโครงสร้างอาคารได้ดี อายุการใช้งานราวๆ 10-12 ปี

บริเวณที่เหมาะสมในการใช้งาน นิยมใช้เป็นพื้นไม้ภายนอกอาคาร อาทิ ระเบียงภายนอก ขอบสระว่ายน้ำ

5.ไม้รกฟ้า (Rok-fa wood) หรือ “ไม้เชือก” เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความละเอียดและเหนียวมาก มีสีน้ำตาลเข้มค่อนข้างดำใช้งานภายนอกได้ดีโดยเฉพาะทำพื้นระเบียง

บริเวณที่เหมาะสมในการใช้งาน นิยมใช้เป็นพื้นไม้ทั้งภายในและภายนอก

6.ไม้ตะเคียน (Hopea wood) เป็นไม้เนื้อแข็งอีกชนิดหนึ่งที่นิยมในการนำมาสร้างบ้านโดยเฉพาะไม้ตะเคียนทอง ซึ่งมักจะมีตำหนิรูมอดอยู่บ้างซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของไม้ชนิดนี้ เนื้อไม้มีความแข็งพอดี มีสีออกเหลืองทองแต่จะกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มเมื่อถูกแสงแดด ดังนั้นหากเลือกใช้ไม้ตะเคียนในบริเวณที่จะต้องมีการสัมผัสต่อแสงแดดและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยนั้น อาจเกิดปัญหาความไม่เสมอกันของสีไม้ตะเคียนได้ เนื่องจากไม้ตะเคียนทำปฎิกิริยาเปลี่ยนแปลงสีเนื้อไม้กับแสงแดดและสภาพแวดล้อม สำหรับตัวเนื้อไม้ตะเคียนนั้นมีคุณสมบัติการยืดหดตัวน้อยมาก จึงเหมาะกับการทำวงกบเป็นที่สุด หรือจะใช้เป็นไม้พื้น ฝาบ้าน และไม้ระแนงต่างๆ ก็ได้ เนื่องจากมีความทนทานต่อปลวกและแมลงกัดกินเนื้อไม้ได้เป็นอย่างดี

บริเวณที่เหมาะสมในการใช้งาน นิยมใช้เป็นพื้นไม้ภายในบ้าน

7.ไม้ประดู่ (Rosewood floor) เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีกลิ่นหอม มีความแข็งพอๆ กับไม้แดงแต่มีความหดตัวน้อยกว่า เนื้อไม้มีหลายเฉดสีตั้งแต่สีแดงอมเหลืองถึงสีแดงอย่างสีอิฐแก่ โดยประดู่ที่นิยมและเป็นที่รู้จักกันดี คือ ประดู่แดง เป็นไม้ที่นิยมนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ ปูพื้นบ้านได้ทุกห้อง หรือใช้ทำเป็นวงกบประตูหรือหน้าต่าง

บริเวณที่เหมาะสมในการใช้งาน นิยมใช้เป็นพื้นไม้ภายในบ้าน อาทิ ห้องรับแขกและห้องนอน

8.ไม้ตะแบก (Tabek wood) เป็นไม้เนื้อแข็งปานกลาง ลักษณะเนื้อไม้สีเทาจนถึงสีน้ำตาลอมเทา เนื้อไม้ละเอียด เสี้ยนค่อนข้างตรง มีลายสวยงาม นิยมนำมาทำไม้ปูพื้น มีลวดลายสวยงามใกล้เคียงกับไม้สัก แต่สีกับเนื้อไม้จะอ่อนกว่า นอกจากนี้ยังมีสีอ่อนสุดเมื่อเทียบกับไม้ชนิดอื่นของไทย มีคุณสมบัติไสกบตกแต่งตอกตะปูง่าย ใช้ก่อสร้างทั่วไป ทำไม้พื้น ทำโครงตู้ ทำเฟอร์นิเจอร์ เหมาะสำหรับการใช้ภายในอาคาร

บริเวณที่เหมาะสมในการใช้งาน นิยมเป็นพื้นไม้ภายในบ้าน

9.ไม้สน (Radiata pine) ปัจจุบันมีไม้สนนำเข้ามาขายในตลาดไม้บ้านเรามากมาย แต่ส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ปูพื้นคือไม้สนชนิดโตเร็ว หรือที่เรียกว่า Radiata ซึ่งนิยมปลูกในประเทศนิวซีแลนด์ (วงปีของไม้จะห่างกัน) มีลักษณะเป็นไม้เนื้ออ่อน ที่มีลวดลายไม้ที่สวยงาม แต่มีความแข็งแรง เนื่องจากผ่านการอบและอาบน้ำยา เพื่อป้องกันการบิดงอรวมถึงแมลงกินไม้ต่างๆ มีตาไม้มากกว่าไม้เต็งและไม้แดง อายุใช้งานประมาณ 10 ปี ใช้สำหรับใช้ทำโครงสร้าง และไม้พื้น จุดเด่นของไม้สนชนิดนี้นั้นอยู่ที่ผู้ผลิตได้มีการเดินร่อง ลักษณะคล้ายลอนลูกฟูก เพื่อป้องกันการลื่นไว้ที่ผิวหน้าด้านบน จึงเหมาะกับงานปูพื้นภายนอกอาคาร ไม่ว่าจะเป็นพื้นทางเดิน พื้นระเบียง หรือพื้นรอบๆสระว่ายน้ำ

บริเวณที่เหมาะสมในการใช้งาน นิยมใช้เป็นพื้นไม้ภายนอกอาคาร

ส่วนการดูแลรักษาพื้นไม้ให้อยู่กับเราได้นาน ก็ทำได้ไม่ยากค่ะ สำหรับพื้นไม้ในบ้านควรทาน้ำยาป้องกันปลวกและแมลงกินไม้ทั้ง 6 ด้าน (บน, ล่าง, ซ้าย, ขวา, หัว, ท้าย) จากนั้นจึงเคลือบผิวด้วยน้ำยาเคลือบผิวโพลียูรีเทนซึ่งมีทั้งชนิดมันวาวหรือด้านตามที่เจ้าของบ้านต้องการ ผิวฟิล์มจากตัวน้ำยาจะช่วยรักษาความชื้นในเนื้อไม้ ส่วนการดูแลรักษานั้นสามารถทำความสะอาดโดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำก็เพียงพอแล้ว

ส่วนพื้นไม้ที่อยู่กลางแจ้งหลังจากทาน้ำยากันปลวกและแมลงกินไม้แล้วควรทาด้วยสีย้อมไม้เพื่อความทนทาน ซึ่งมีอยู่หลายยี่ห้อในท้องตลาดโดยมีทั้งชนิดเงา กึ่งเงาและชนิดด้านตามความชอบของเจ้าของบ้าน นอกจากนั้นควรตีพื้นไม้เว้นร่องให้ห่างกันเล็กน้อยเพื่อให้สามารถระบายน้ำได้สะดวก ส่วนการดูแลรักษานั้นควรจะมีการขัดผิวและทาด้วยสีย้อมพื้นระแนงไม้ (Deck Stain) หรือสีย้อมไม้สำหรับไม้นอกบ้าน (Exterior Wood Stain) ทุกๆ 3 ปี เพื่อยืดอายุการใช้งาน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.scgbuildingmaterials.com

 

About the Author: