6 ข้อควรรู้ เมื่อคิดจะใช้พื้นไม้ภายในบ้าน
6 ข้อควรรู้ เมื่อคิดจะใช้พื้นไม้ภายในบ้าน “ไม้” เป็นวัสดุธรรมชาติ ที่เจ้าของบ้านรวมถึงนักออกแบบมักนำมาใช้งาน และเป็นที่นิยมมานานหลายยุคหลายสมัย และไม่มีทีท่าว่าเจ้าวัสดุนี้ จะถูกลดทอนความนิยมลงเลย นั่นเพราะ “ไม้” ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความผ่อนคลาย ความอบอุ่น และความเป็นธรรมชาติ ที่ไม่มีวัสดุใดเทียบเคียงได้ แต่เมื่อคิดจะใช้ไม้ในบ้านแสนรักของคุณแล้ว มีอะไรที่ต้องคำนึงถึงบ้าง ครั้งนี้เรามีเกร็ดความรู้มาฝากกันครับ
1. กำหนดตำแหน่งและห้องที่ต้องการใช้พื้นไม้จริง
ขั้นตอนนี้จะเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่ออกแบบบ้าน การลงรายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ให้มากที่สุด เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เห็นภาพรวมของบ้าน รวมถึงสามารถคาดการณ์งบประมาณในการก่อสร้างได้ด้วย โดยควรลงรายละเอียดไปถึงวัสดุหลัก ๆ ของบ้าน เช่น พื้นแต่ละห้องใช้วัสดุอะไร ผนังทาสีหรือขัดมัน เป็นต้น ซึ่งแนวทางในการเลือกใช้พื้นไม้ ว่าเหมาะกับห้องใดบ้าง มีหลักการอยู่ว่า พื้นไม้จริงนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่น เป็นกันเอง ใช้งานแล้วรู้สึกสบายเท้า ห้องที่เหมาะสมก็คงไม่พ้นห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องทำงาน ส่วนห้องน้ำ ห้องครัว หรือห้องเก็บของนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องใช้พื้นไม้จริง และการใช้วัสดุอื่น ๆ เช่น กระเบื้อง หรือหิน จะมีความเหมาะสมกว่าพื้นไม้จริง
2. เลือกโทนสีและลายไม้ จากสไตล์การตกแต่ง
รูปแบบและสไตล์การออกแบบของห้อง ส่งผลต่อสีและลายของไม้ หากตกแต่งสไตล์โมเดิร์น มินิมอล โทนสีไม้ที่มีความเข้ากันคือไม้โทนสีอ่อนและไม่มีลวดลายไม้ให้เห็นมากนัก ส่วนสไตล์ลอฟท์ หรือ อินดัสเทียลนั้นเหมาะกับการใช้ไม้ในโทนสีเข้ม และมีลายไม้ชัดเจน หรือจะเป็นสไตล์ร่วมสมัย ที่สามารถใช้ได้หลากหลาย เพราะสไตล์นี้มีความเป็นกลาง ไม่เรียบหรือดิบจนเกินไป สามารถใช้ไม้ได้หลากหลายสี แล้วแต่ความชอบของเจ้าของบ้าน เป็นต้น
3. เลือกประเภทของพื้นไม้
พื้นไม้มีทั้งหมดมี 3-4 ประเภทด้วยกัน คือ พื้นไม้รางลิ้นรอบตัว (Solid Wood) พื้นไม้เอนจิเนียร์ (Engineered Wood) และพื้นไม้ลามิเนต (Laminated) และยังมีพื้นที่ให้สีและลายเหมือนไม้จริง แต่มีความทนทานกันน้ำได้ดีอย่างกระเบื้องยางอีกด้วย โดยทั้งหมดนั้น มีแนวทางในการใช้งานต่างกัน สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ พื้นไม้ Solid, Engineered wood, Laminated, Vynil ต่างกันอย่างไร
4. ลำดับขั้นของการเข้างานพื้นไม้
งานพื้นไม้ควรเป็นขั้นตอนช่วงท้าย ๆ ของการก่อสร้าง มีโครงสร้างพื้น ผนัง ทาสี ติดวอลเปเปอร์ หรือวัสดุปิดผิวต่าง ๆ พร้อมหลังคา ประตู หน้าต่าง และฝ้าเพดานครบถ้วน รวมถึงงานระบบไฟฟ้า ประปา เครื่องปรับอากาศ ที่ต้องเดินให้แล้วเสร็จมากที่สุด เพราะการที่ให้งานพื้นไม้เข้าช้าที่สุด เป็นการลดโอกาสที่ช่างจะทำพื้นเสียหาย หากติดตั้งก่อนงานอื่น ๆ เข้า โดยแบ่งเป็น 2 ทางเลือกดังนี้
– ห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์บิวท์อิน ควรทำการปรับพื้นที่ให้เรียบเพื่อเริ่มงานบิวท์อินก่อนงานพื้นไม้ เพราะในการติดตั้งบิวท์อินวางบนพื้นไม้นั้น เป็นรายละเอียดของงานที่ไม่นิยมทำกัน กล่าวคือจะมีผลต่อความแข็งแรงของเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินได้ อีกทั้งยังเป็นการช่วยประหยัดพื้นไม้ในส่วนที่เว้นไว้ สำหรับเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินด้วย
– ห้องที่มีแต่เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว ควรปูพื้นไม้ให้เสร็จเรียบร้อยและนำเฟอร์นิเจอร์มาวางภายหลัง เพราะเมื่อเราต้องการเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ตัวไหน ก็ไม่ต้องเป็นกังวล เนื่องจากมีพื้นไม้ปูเตรียมไว้ทุกบริเวณแล้วนั่นเอง
5. ลองวางเรียงพื้นไม้เพื่อดูสีและลายก่อนติดตั้งจริง
ก่อนทำการปูพื้นไม้ ลองทำการนำพื้นไม้ที่จะปูนั้น มาวางเรียงกันบนพื้นที่หน้างานจริงที่จะปูพื้น เพื่อเช็คเรื่องของสีและลาย ว่าเป็นไปตามที่เราต้องการหรือไม่ สามารถสลับคละสี หรือ เรียงให้ได้โทนสีตามที่ต้องการก่อนการปูจริงนั่นเอง
6. PROTECT พื้นไม้จริงหลังการติดตั้งเสร็จ
แม้จะปูพื้นไม้จริงเป็นอันดับท้าย ๆ ของการก่อสร้างบ้านแล้ว แต่ก็ยังคงต้องทำการคลุมด้วยกระดาษลูกฝูก หรือ แผ่นไม้อัดเพื่อ Protect พื้นไม้อยู่ เพราะเศษหิน หรือ แม้แต่กรวดเม็ดเล็กๆ ที่ยังคงมีอยู่ทั่วพื้นที่บ้านก่อสร้าง สามารถเข้ามาในห้องและทำให้พื้นไม้จริงเกิดรอย เกิดความเสียหายได้ ฉะนั้นจึงต้องทำการ Protect ไว้ จนกว่าจะมีการทำความสะอาดใหญ่ เก็บงานทุกอย่างแล้วเสร็จจึงนำ Protect ออก
ในการใช้งาน พื้นไม้จริงอาจไม่ต่างจากวัสดุภายในบ้านอื่นๆ ที่ต้องใช้งานอย่างเข้าใจ หมั่นทำความสะอาด และไม่ทำความเสียหายเพิ่ม เท่านี้พื้นไม้จริงสวยๆ ก็จะอยู่คู่บ้านของเราไปนานแสนนาน
……
ขอบคุณข้อมูลจาก www.areewood.com